วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

เมืองโบราณเวียงท่ากาน



เมืองโบราณเวียงท่ากาน
การเดินทางจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เส้นท่างสายเชียงใหม่-ฮอด เป็นระยะทางประมาณ ๓๔ กิโลเมตร จนถึงทางแยกเข้าบ้านท่ากานบริ ิเวณปากท่างบ้านทุ้งเสี้ยว เป็นระยะทางเข้าไปประมาณ ๒ กิโลเมตร โดยผ่านพื้นที่บ้านต้นกอกสภา เมืองเก่าเวียงท่ากานมีลักษณะเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประมาณ ๗๐๐เมตร กว้างประมาณ ๔๐๐เมตร ปรากฏแนวคูเมือง ๑ชั้น กว้างประมาณ ๗-๘ เมตร และมีกำแพงดินหรือคันดินล้อมรอบ ๒ ชั้นปัจจุบันเหลือแนวคูน้ำ คันดินให้เห็น ๓ ด้านยกเวณด้านทิศใต้ ตัวเมืองโบราณมีสภาพเป็นเนินสูงพื้นโดยราบเป็นที่ราบลุ่มห่างจากลำน้ำ ปิงประมาณ๓กิโลเมตทางทิศตะวันออกมีลำน้ำแม่ขานไหลผ่านห่งจากตัวเมือง เวียงท่ากานประมาณ ๒ กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีลำเหมือง(ลำห้วย) สาย เล็กๆ ชักน้ำจากน้ำแม่ขานมายังคูเมืองทางทิศใต้และยังมีลำเหมืองขนาดเล็ก ชักน้ำเข้ามาใช้ภายในเมืองทางทิศตะวันออก ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นระบบ ชลประทาน ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยโบราณ สภาพภายใต้ในตัวเมืองเดิมเป็นป่าทึบต่อมามีการโค่นต้นไม้ใหญ่หักล้าง พื้นถ่างโพรงเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัยพื้นที่บริเวณชายเนินที่เป็นที่นาทั้งหมด ปัจจุบับบ้านเรือยราษฎรส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในตัวเมืองชาวบ้านท่ากานส่วนใหญ ่เป็นพวกชาวยองที่อพยพเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวีละปกครองเมือง เชียงใหม่คนส่วนใหญ่พูดภาษายอง คำว่า "ท่ากาน" ชาวบ้านเล่าว่ามาจากคำว่า "ต๊ะก๋า"ในตำนานเล่าว่า เมื่อก่อน นี้มีกาเผือกตัวใหญ่จะบินลงที่นี้ชาวบ้านกลัวว่าเมืองบินลงจะทำ ให้เกิดความเดือดร้อนในหมู่บ้านจึงพากันไล่กาหรือต๊ะก๋าไม่ให้มาลงก็เลย เรียกต่อกันมาว่าบ้านต๊ะก๋า ต่อมาเมือประมาณพ.ศ.๒๔๕๐เจ้าอาวาสวัด ท่ากานได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านท่ากาน เนื่องจากคำว่าบ้านต๊ะก๋าไม่เป็น ภาษาเขียน จากหลักฐานทางด้านเอกสารและตำนานหลายฉบับ เช่นตำนานมูลศาสนา พงศาวดารโยนกและตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวโดยร่วมได้ว่า เมืองท่ากาน เป็นเทลมืองที่มีประวัติเกี่ยวกับนิยายปรัมปราทางพุทธศาสนากล่าวถึงพระพุทธ เจ้า ว่าเคยเสด็จมาที่เมืองนี้ เวียงท่ากาน ปรากฏชื่อใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า "เวียงพันนาทะการ" คงจะเป็นเมืองที่มีความสำคัญเมืองหนึ่ง เนื่องจากพญามังราย (พ.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๕๔)โปรดให้นำต้นโพธิ์ที่นำมาจากลังกาทวีปหนึ่งต้นในจำนวนสี่ต้น มาปลูกที่เมืองเวียงพันนาทะการเวียงท่ากานเป็นเมืองที่มีเจ้าเมืองปกครองภาย ใต้การปกครองของเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารเพราะเป็น ถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ชื่อของเวียงท่ากานปรากฏในเอกสารโบราณเกี่ยวกับเมืองเชียง ใหม่ในสมัยพระเจ้าติโลกนาถ(พ.ศ.๑๙๘๔-๒๐๓๐)กล่าวว่าพระองคได้เสด็จยกทัพ ไปตีเมืองเงี้ยวและได้นำเฉลยเงี้ยวไปอยู่ที่เวียงท่าการเมืองเงี้ยวไปอยู่ที่เวียงพันนา ทะการัคงจะหมายความว่าในช่วงนี้เวียงพันนาทะการมีฐานเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม ่เพราะคำว่าพันนาในภาษาไทยเหนือหมายถึงตำบล ่ หลังจากพม่าเข้าตีเมืองเชียงใหม่ได้ในสมัยพระเจ้าหงสาวดี บุเรงนอง ในปี(พ.ศ.๒๑๐๑)เวียงท่ากานที่ตกอยู่ในอำนาจของพม่าเช่นกันต่อมาทาง เชียงใหม่ร้างไปประมาณ ๒๐ ปีเศษ คือในช่วงระหว่าง(พ.ศ.๒๓๑๘-๒๓๓๙) เวียงท่ากานก็คงจะร้างไปด้วย จนถึงช่วงปี พ.ศ.๒๓๓๙พระเจ้ากาวิละทรงตี เมืองเชียงใหม่คืนจากพม่าได้จึงกวาดต้อนพวกไทยยองเข้ามาอยู่จนตราบ เท่าทุกวันนี้ หลักฐานทางโบราณคดีประเภทโบราณวัตถุเช่นพระพิมพ์ดินเผาพระพุทธรูปดิน เผาพระพุทธรูปสำริดและพระโพธิสัตร์เป็นต้นแสดงให้เห็นถึงศิลปะแบบหริภุญไชย ซึ่งยังคงเหลือให้ศึกษาอยุ่นอกเหนือจากนี้ยังมีหลักฐานประเภทโบราณสถาน และโบราณวัตถุในสมัยล้านนาให้ศึกษาอย่างต่อเนื่องและนอกตัวเมืองอีกด้วย เป็นกลุ่มโบราณสถานมีขนาดใหญ่มากทีสุด มีเนื้อที่ประมาณ๑๔ไร่ในกลุ่มนี้ ประกอบด้วยโบราณสถานที่สำคัญยังคงเหลืออยู่คือเจดีย์แปดเหลี่ยมแบบหริภุญไชย และเจดีย์ทรงกลมสมัยล้านนานอกจากนี้ยังปรากฏเนินโบราณสถานอีกหลาย เนินซึ่งเป็นองค์เจดีย์วิหารอีกหลายเนินภายในกลุ่มโบราณสถานแห่งนี้ยังเคยมีคน ขุดพบพระบุทองคำ เงินสำริด พระพิมพ์ดินเผา ที่สำคัญคือไหรายโบราณสมัย ราชวงหยวน(พ.ศ.๑๘๒๓-๑๙๑๑)ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดท่ากานจะเป็นโถบรรจุ อัฐิของพระเถรผู้ใหญ่เจดีย์ทั้งสององค์นี้ได้ทำการขุดแต่งและบูรณะเมือประมาณ ต้นปี พ.ศ.๒๕๓๑ โดยหน่วยศิลปกรที่ ๔ได้พบโบราณวัตถสามาถกำหนดอายุ ของเจดีย์ทั้ง ๒ องคได้ว่ามีอายุอยู่ในช่วงหริกุญไชยลงมาถึงล้านนากลุ่มวัด กลางเมืองนี้ประกอบด้วยกลุ่มโบราณสถาน ๓ กลุ่ม วัดกลางเมืองกลุ่มที่๑ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือมีแนวกำแพงล้อมรอบประกอบด้วยเจดีย์ทรงระฆังฐานแปด เหลี่ยมอยู่ด้านหลังวิหารในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกห่างกันประมาณ๔เมตร ภายใน แนวกำแพงเข้าด้านหน้ามีซุ้มประตูโขงเจดีย์เป็นแบบหริภุญไชยและ ล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๒ วัดกลางเมืองกลุ่มที่๒เป็นกลุ่มที่มีเนื้อที่น้อยที่สุดโดยใชเ้แนวกำแพงร่วมกลับ กลุ่มที่๓ประกอบด้วยฐานวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออกผนังด้านหลังวิหารเชื่อม ติดกลับล้านประทักษิณของเจดีย์ประธานเป็นระฆังฐานสี่เหลี่ยมกลุ่มอาคารด้าน ทิศตะวันออกหลังเจดีย์ประกอบด้วยฐานของศาลาโถง๒หลัง และบ่อน้ำ วัดกลางเมืองกลุ่มที่๓ประกอบด้วยโบราณสถาน๗แห่งล้อมรอบด้วยกำแพง โดยกำแพงด้านทิศตะวันออกเชื่อมกับกำแพงกลุ่มที่๒และใช้กำแพงด้านทิศเหนือ ร่วมกัน มีซุ้มประตูโขงเป็นประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้า กลุ่มที่๒อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเรียกว่ากลุ่มวัดพระอุโบสถเนื่องจากในบริเวณ นี้มีพระอุโบสถหลังเก่าซึ่งร้างอยู่ต่อมาชาวบ้านได้รื้อใหม่ทับทินเดิมอุโบสถหลัง เก่าแล้วสร้างขึ้นมานอกจากนี้ยังปรากฏเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนาและฐานเนิน วิหารและยังคงมีเนินโบราณสถานกระจายอยู่ในบริเวณนี้อีก๒-๓แห่งอีกทั้งยัง มีเนินซุ้มประตูโขง และแนวกกำแพงให้เห็นเป็นช่วง กลุ่มวัดพระอุโบสถประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงระฆังตั้งอยู่ด้านหลังวิหารหัน หน้าไปทางทิศตะวันออกมีอุโบสถหลังใหม่อยู่ขนาดทางด้านขวาด้านซ้ายเป็น ฐานวิหารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่หลังเจดีย์เหลี่ยมขนาดเล็กบริเวณรอบวัดล้อม รอบด้วยแนวกำแพงแก้วและมีซุ้มประตูโขงตั้งอยู่ด้านหน้ากลุ่มวัดอุโบสถนี้จัด เป็นศิลปะแบบล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ กลุ่มที่๓อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเรียกว่ากลุ่มวัดต้นโพธิ์เนื่องจาก เชื่อกันว่ามีต้นโพธิ์พญามังรายโปรดให้นำมาปลูกในบริเวณนี้มีเนินโบราณสถาน กระจายอยุ่ด้วยกัน๔เนินภายในวัดประกอบด้วยฐานวิหารและเจดีย์ประธานมีซุ่ม ประตูโขงและแนวกำแพงแก้วล้อมรอบสถาปัตยกรรมของกลุ่มวัดต้นโพธิ์จัดเป็น ศิลปะแบบล้านนาอายุราวศตวรรษที่๑๙-๒๒ กลุ่มที่๔อยู่ทางตอนกลางของเมืองค่อนไปทางทิศตะวันออกเรียกวัดหัวข่วง ปรากกฏเนินโบราณสถานที่เป็นเจดีย์และวิหารโดยวิหารเหลือแต่ฐานสี่เหลี่ยม ผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศใต้ฐานเจดีย์ประธานเป็นลักษณ์แบบทรงเรือธาตุมีกำแพง แก้วล้อมรอบกลุ่มวัดหัวข่วงนี้จัดเป็นศิลปะแบบล้านนาอายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๒๑-๒๒ กลุ่มที่๕อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเรียกว่ากลุ่มวัดรพเจ้าก่ำปรากฏเนินโบราณ สถานขนาดใหญ๒เนินชาวบ้านได้พบพระพุทธรูปสำริดองค์หนึ่งถูกไฟเผาจนเป็นสีดำ จึงเรียกว่าวัดพระเจ้าก่ำภายในบริเวณโบราณสถานกลุ่มนี้ประกอบด้วยฐานวิหาร และเจดีย์ประธานลักษณะเจดีย์แบ่งเป็น๒ส่วนคือฐานชั้นล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกับ เรือนธาตุด้านบนฐานเจดีย์นี้ได้เชื่อมต่อกันฐานของวิหารโบราณสถานกลุ่มนเป็นศิลปะ ่ แบบล้านนาอายุราวพุทะศตวรรษที่ ๑๙-๒๒กลุ่มที่๖ตั้งอยู่นอกเมืองท่างทิศตะวันตกเฉียงเหนือนอกเมืองอยู่ในเขตบ้านต้นกอก เรียกว่าวัดต้นกอกมีเจดีย์ทรงกลมที่ช่างฐานมีการขยายฐานส่วนนอกไปอีกเพื่อสร้าง เจดีย์แบบพม่าสวมครอบทับเมื่อประมาณ๕๐กว่าปีที่ผ่านมาแต่ยังสร้างไม่เสร็จนอก จากนี้ยังมีเนินโบราณสถานอีก๓แห่งโบราณสถานกลุ่มนี้ประกอบด้วยเจดีย์ประธาน ทรงระฆังมีฐานใหญ่ซ้อนกัน๓ชั้นตั้งอยู่หลังวิหารในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก นอกจากนี้ยังปรากฏวิหารอยู่ทางทิศเหนือของเจดีย์อีกหนึ่งฐานและใกล้จากนี้ไป ทางทิศตะวันตกมีฐานวิหารอีกฐานหนึ่งตั้งอยู่นอกจากนี้กลุ่มโบราณสถานสถาน ที่กล่าวมาแล้วนยังปรากฏเนินโบราณสถานนอกเมืองทางทิศตะวันออกี้เฉียงเหนือ ใกล้กับเขตบ้านต้นกอกอีกหลายเนินในปีงบประมาณ๒๕๓๑หน่วยศิลปกรที่๔เชียงใหม่ได้ทำการขุดแต่งและบูรณะเจดีย์โบราณ สถานกลางเมือง๒องค์คือเจดีย์แปดเหลี่ยมแบบหริภิญไชย๑องค์และเจดีย์ทรงกลมแบบ องค์เรือยธาตุอีก ๑องค์ได้พบหลักฐานประเภทโบราณวัตถุจำนวนมากทั้งเศษ ภาชนะดินเผาแบบหริภิญไชย พระพุทธรูปสำริดเป็นต้นอนึ่งหลักฐานทางด้าน โบราณวัตถุและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์ซึ่งมีการบูรณะซ่อมแซมมางแล้ว หลายครั้สามารถกำหนดอายุโบราณสถานดังกล่าวได้ว่าน่าจะมีอายุตั้งแต่สมัย หริภัญไชยตอยปลายลงมาถึงสมัยล้านนาตอนต้นประมาณพุธศตวรรษท๑๘ถึง พุทธสตวรรษที่ ๒๑-๒๒
ขอบคุณข้อมูลจากwww.deeday23.com/travel.php?group_id=1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น